เฮลโล คิตตี้
"เฮลโล คิตตี้ ( Hello Kitty ) " เป็นตัวการ์ตูนลักษณะคล้ายแมวพันธุ์บ๊อบเทลเพศเมียสีขาว มีลักษณะเด่น คือ ผูกโบแดงที่หูซ้ายและไม่มีปาก ผลิตโดยบริษัทซานริโอ ของประเทศญี่ปุ่น ออกแบบโดยยูโกะ ชิมิซุ
มีชื่อจริงว่า "คิตตี้ ไวต์" เกิดเมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2517 ในแถบชานกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กซึ่งมีหลังคาสีแดงกับครอบครัว มีส่วนสูงเท่ากับแอปเปิ้ล 5 ผล และน้ำหนักเท่ากับแอปเปิ้ล 3 ผล เลือดกรุ๊ปเอ ชอบสีชมพู มีอุปนิสัยร่าเริง อบอุ่นและใจดี
ด้านงานอดิเรก ชอบสะสมของเล็กของน้อย และทำขนมหวานเก่ง โดยมีเมนูโปรดเป็นของหวานอย่าง พายแอปเปิ้ลฝีมือแม่ ฮอตเค้ก และพุดดิ้ง
นอกจากนั้น วิชาที่คิตตี้ชอบเรียนในโรงเรียน คือ ภาษาอังกฤษ ดนตรีและศิลปะ จึงมีความใฝ่ฝันจะเป็นนักเปียโนหรือกวี คิตตี้มีสัตว์เลี้ยงเป็นแมวพันธุ์เปอร์เซียชื่อ ชาร์มมี่ คิตตี้ และหนูแฮมสเตอร์ชื่อ ชูการ์
ปัจจุบันอายุย่างเข้าปีที่ 39 และเป็นแฟนกับเพื่อนในวัยเด็กที่ชื่อ แดเนียล สตาร์
สำหรับที่มา ของชื่อ "เฮลโล คิตตี้" นั้น นางยูโกะ ชิมิซุ ผู้ออกแบบเผยว่าได้แรงบันดาลใจจากนิยายชื่อดังของนักประพันธ์ ลีวิส แครอลล์ เรื่อง "Through The Looking Glass" ที่อลิซ ซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่องนั้นเล่นกับแมวที่ชื่อ "คิตตี้" นอกจากนั้น นายชินทาโร่ ซูจิ ผู้ก่อตั้งบริษัทซานริโอระบุว่าปรัชญาในการทำงาน คือ ความต้องการจะสื่อสารกับสังคม จึงเป็นที่มาของการเติมคำว่า "เฮลโล" นำหน้า "คิตตี้"
นอกจากนั้น อีกหนึ่งจุดเด่นที่หลายคนมักถามถึง คือ ทำไมคิตตี้จึงไม่มีปาก ทางด้านโฆษกของซาน ริโอกล่าวว่า ตั้งใจที่จะทำเช่นนั้น เพราะง่ายต่อการที่คนมองแล้วจะสามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของคิตตี้ คนดูจึงมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวการ์ตูนเองว่ากำลังมีความสุขหรือเศร้า
"คิตตี้" เปิดตัวครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปีพ.ศ.2517 เป็นกระเป๋าผ้าใบใส่เหรียญสตางค์ จากนั้นในปีพ.ศ.2519 จะไปโด่งดังในสหรัฐอเมริกา และกลายเป็นสัญลักษณ์ทางการค้าไปทั่วโลก โดยขยายสินค้าออกไปหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตา หรือเสื้อผ้าและเครื่องประดับ กระทั่งถึงเครื่องบินแอร์บัส เฮลโล คิตตี้ รุ่น เอ33-200
นอกจากนั้นยังถูกนำไปผลิตเป็นละครโทรทัศน์กว่า 30 ตอน ตั้งแต่ปีพ.ศ.2542-2554 และยังมีสวนสนุกในร่มที่สร้างขึ้นด้วยแนวคิดจากคิตตี้อย่าง "ซานริโอ พูโรแลนด์" และ "ฮาร์โมนีแลนด์" อีกด้วย
แม้กลุ่มเป้าหมายหลักของสินค้า "เฮลโล คิตตี้" จะเป็นเยาวชน แต่กลุ่มวัยรุ่นและผู้ใหญ่หันมาสนใจเฮลโล คิตตี้ ในฐานะสินค้าย้อนยุคมากขึ้น ซึ่งในปีพ.ศ.2551 บริษัทซานริโอระบุว่ามีสินค้าที่ใช้เฮลโล คิตตี้ เป็นสัญลักษณ์กว่า 50,000 รายการใน 60 ประเทศทั่วโลก และทำกำไรให้กับบริษัทราว 15,000 ล้านบาท
ประวัติผู้ออกแบบ
บริษัทตัดสินใจที่จะสร้างให้เฮลโลคิตตีเกิดใประเทศอังกฤษ เพราะในช่วงเวลาที่คิตตีถูกสร้างขึ้นมา อะไรก็ตามที่มาจากต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศอังกฤษให้ความรู้สึกทันสมัยมาก สำหรับคนญี่ปุ่น นอกจากนี้ ซานริโอ้ก็มีตัวละครอื่น ๆ ที่เกิดในสหรัฐอยู่แล้ว พวกเขาจึงต้องการสร้างให้คิตตีมีความแตกต่าง[7][17] ออกไป ชิมิซุ ได้ชื่อคิตตี จากนิยายชื่อมองผ่านกระจก ของ ลูอิส แครอล ที่อยู่ในตอนต้นของหนังสือ ที่อลิซเล่นกับแมวของเธอที่ชื่อ คิตตี[18]คำขวัญซานริโอ้ คือ "การสื่อสารในสังคม" และซูจิอยากชื่อของแมวที่จะสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งนั้น ครั้งแรกที่เขาคิดว่า "ไฮ คิตตี" ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้ "เฮลโล" ซึ่งสื่อถึงคำอวยพร[19] ได้ด้วยตัวแทนประชาสัมพันธ์ของบริษัทได้อธิบายว่าคิตตีไม่มีปากเพราะพวกเขาต้องการให้ผู้คนมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครและมีความสุข หรือเศร้าร่วมไปกับคิตตี[7][20] อีกอย่างหนึ่งที่อธิบายได้ว่าทำไมคิตตีไม่มีปากคือการที่เธอ" พูดออกมาจากหัวใจ” คิตตีเป็นเหมือนกับทูตของซานริโอ้สู่ทั่วโลกและไม่ได้ยึดติดกับภาษา[17] ใดโดยเฉพาะ "บริษัทมองเห็นคิตตีเป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพและพวกเขาหวังว่าเธอจะส่งเสริมมิตรภาพระหว่างผู้คนทั่วโลก[7] มีบางคนให้ข้อสังเกต[โดยใคร?] ว่าเฮลโลคิตตีมีต้นกำเนิดมาจากแมวกวักของญี่ปุ่น มาเนกิ เนโกะ ซึ่งชื่อคิตตีเองก็มีที่มาจากแมวกวัก (มาเนกิ เนโกะ ภาษาญี่ปุ่น) ซึ่งหมายถึงการกวักมือเรียกแมวในภาษาอังกฤษ
ประวัติ
หลังจากที่เปิดตัวปี 1974 เฮลโลคิตตี ก็ขายดีในทันที และ ส่งผลให้ยอดขายรวมของซานริโอ้เพิ่มขึ้นถึงเจ็ดเท่าหลังจากที่เผชิญกับภาวะยอดขายตกต่ำในปี 1978[7][21] มีคอลเลคชั่นคิตตีที่ออกแบบแปลก ๆ ใหม่ ๆ รวางจำหน่ายสู่ท้องตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับความเป็นไปในสังคมในปัจจุบัน ทั้งนี้ ยูโกะ ยามากูชิ ซึ่งเป็นนักออกแบบหลักของเฮลโลคิตตี ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันกล่าวว่า เธอได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบคิตตี รุ่นใหม่ ๆ จากแฟชั่น, ภาพยนตร์และโทรทัศน์[7][21]
ในช่วงแรกที่คิตตีเน้นการทำตลาดเฉพาะเด็กผู้หญิงเท่านั้น แต่ตั้งแต่ปี 1990 กลุ่มเป้าหมายสำหรับคิตตีได้ขยายออกไปยังกลุ่มวัยรุ่นและผู้ใหญ่ในฐานะที่เป็นแบรนด์ย้อนยุค[7][17] ทั้งนี้ซานริโอ้เริ่มมีการออกแบบผลิตภัณฑ์คิตตีสำหรับผู้ใหญ่มากขึ้น เช่นกระเป๋าและแล็ปท็อป [7][17][21] เพื่อตอบสนองลูกค้ากลุ่มนี้เป็นพิเศษ ในปี 1994-1996 มีการวางจำหน่าย เฮลโลคิตตี รุ่นคิตตี เฟซ ซึ่งเน้นการออกแบบสินค้าเพื่อตอบสนองลูกค้ากลุ่มเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น[7]
ซานริโอ้ กล่าวว่า ในปี 1999 มีคิตตีรุ่นใหม่ ๆ ออกวางจำหน่ายถึง 12,000 แบบต่อปี[19] ทั้งนี้ในปี 2008 สามารถทำรายได้กว่าหนึ่งร้อยล้านดอลล่าร์ ซึ่งมากถึงครึ่งหนึ่งของรายได้รวมของซานริโอ้ทั้งบริษัท ทั้งนี้คิตตีมีวางจำหน่ายมากกว่า 50,000 แบบในกว่า 60 ประเทศ[17]ทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา ด้วยแนวโน้มแฟชั่นในญี่ปุ่น ส่งผลให้บริษัทเริ่มใช้สีเข้ม ลดสีชมพู และใช้การออกแบบที่มีรูปแบบที่น่ารัก[21] น้อยลงในการออกแบบคิตตีรุ่นใหม่ ๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น